หลายคนคงไม่รู้ว่าป่าในประเทศไทยเสื่อมโทรมลงไปมากแค่ไหน นักลงทุน ผู้แสวงผลประโยชน์ ต่างก็เข้ามากอบโกยทรัพยากรธรรมชาติไปเป็นของตนเอง ทำให้ระบบนิเวศในป่าถูกทำลายลงในหลายพื้นที่ของประเทศไทย แต่ก็ยังคงมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ในหลายพื้นที่ ที่นักท่องไพรสามารถเข้าไปสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติได้ ซึ่งในที่นี่ผมขอเสนอผืนป่าที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศไทยนั้นก็คือ
"ป่าฮาลา บาลา"
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา บาลา
พื้นที่อนุรักษ์แห่งใหม่ของไทยที่ได้รับการประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2539 อันเป็นแนวชายแดนไทย-มาเลเซียนั้น มีพื้นที่ประมาณ 270,725 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ทิวเขาสันกาลาคีรี แม้ป่าฮาลาและป่าบาลาเป็นป่าดงดิบที่ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ก็ได้รับการประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าผืนเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วยป่าฮาลา ในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส กับป่าบาลาที่ครอบคลุมอำเภอแว้งและอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส โดยส่วนที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปศึกษาธรรมชาติได้คือป่าบาลาแห่งนี้เท่านั้น ซึ่งมีการตัดถนนสายความมั่นคง (ทางหลวงหมายเลข 4062) ไปตามเทือกเขาสันกาลาคีรี ทำให้การเข้าถึงพื้นที่ป่าสะดวกง่ายดายขึ้น โดยเริ่มจากบ้านบูเก๊ะตา อำเภอแว้ง ตัดผ่านป่าบาลา และไปสิ้นสุดที่ บ้านภูเขาทองในอำเภอสุคิริน รวมระยะทาง 18 กิโลเมตร
ไฮไลต์แห่งผืนป่า
เพียงขับรถไปตามถนนสายความมั่นคง คุณจะพบความมหัศจรรย์จากธรรมชาติมากมายที่ควรค่าแก่การศึกษา โดยมีไฮไลท์ที่น่าสนใจดังนี้
· ห่างจากสำนักงานฯ ประมาณ 5 กิโลเมตร คุณจะพบจุดชมสัตว์และมีต้นไทรขึ้นอยู่จำนวนมาก ซึ่งสัตว์มักจะมาหากินลูกไทรเป็นอาหาร
· จากจุดชมสัตว์ ตรงเข้ามาอีกประมาณ 10 กิโลเมตร จะพบที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์ภูเขาทอง ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายดังกล่าว ที่นี่เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงาม
· นอกจากนี้สองข้างทางยังจะได้เห็นพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่ไม่อาจหาชมได้ง่าย ๆ จากที่อื่นในเมืองไทย เช่น
ต้นยวน ไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่วที่สวยเด่นสะดุดตา มองเห็นได้แต่ไกล ด้วยผิวเปลือกขาวนวล และรูปร่างสูงชะลูด สามารถสูงได้ถึง 65-70 เมตรซึ่งถือว่ามีความสูงเป็นอันดับสามของโลก รองจากต้นเรดวูดและยูคาลิปตัส มักถูกตัดไปทำเฟอร์นิเจอร์
ต้นสยา ไม้ในวงศ์ยางซึ่งเป็นไม้เด่นของป่าฮาลา-บาลา จากจุดชมวิวจะมองเห็นเรือนยอดของต้นสยาขึ้นเบียดเสียดกัน ถ้าลองซุ่มสังเกตดี ๆ อาจมีโอกาสพบนกเงือกบริเวณนี้ เพราะต้นสยาเป็นแหล่งทำรังสำคัญของนกเงือก
ต้นหัวร้อยรูหนาม อันเป็นไม้โขดที่ขึ้นเกาะตามคบไม้ในป่าดงดิบทางภาคใต้ของไทย จัดเป็นพืชหายากและใกล้สูญพันธุ์
สัตว์ประจำถิ่น
สัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ หลายชนิดเป็นสัตว์ที่หายากในไทย เช่น
· ชะนีดำใหญ่ หรือ เซียมัง ซึ่งมีสีดำตลอดตัว และมีขนาดใหญ่กว่าชะนีธรรมดาเกือบเท่าตัว
· ชะนีมือดำ ซึ่งปกติจะพบเฉพาะในป่าบนเกาะสุมาตรา บอร์เนียว และป่าบริเวณทางเหนือของมาเลเซียถึงทางใต้ของไทยเท่านั้น
· กบทูด ซึ่งเป็นกบขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ความยาวจากปลายปากถึงก้น ประมาณ 1 ฟุต น้ำหนักกว่า 5 กิโลกรัม มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณป่าต้นน้ำบนภูเขาสูง
นกเงือก นกหายากที่เป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่า แต่ในป่าแห่งนี้พบนกเงือก 9 ใน 12 ชนิดที่พบในไทย ได้แก่ นกเงือกปากย่น นกเงือกชนหิน (เป็นนกเงือกชนิดเดียวที่มีโหนกแข็งทึบ ชาวบ้านในอินโดนีเซียจึงล่านกชนหิน เพื่อเอาโหนกไปแกะสลักอย่างงาช้าง) นกแก๊ก นกกก นกเงือกหัวหงอก นกเงือกปากดำ นกเงือกหัวแรด นกเงือกดำ นกเงือกกรามช้าง
นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบสัตว์ป่าสงวน 4 ชนิด คือ เลียงผา สมเสร็จ แมวลายหินอ่อน และ กระซู่
![]() |
| พี่ๆ จนท.กรมป่าไม้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา บาลา |
ช่วงเวลาเหมาะสม
ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีฝนตกลงมาไม่มากเกินไปนัก
การเดินทาง
สามารถเหมารถสองแถวได้ที่ตลาดอำเภอแว้ง หรือสถานีรถไฟสุไหงโกลก หรือขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 4057 มุ่งหน้าไปยังอำเภอแว้ง จนถึงบ้านบูเก๊ะตา จะมีป้ายบอกทางให้ขับต่อไปทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา
เป็นยังไงกันบ้างครับได้ชมแค่ภาพก็อยากไปกันแล้วใช่มั้ย งั้นผมขอตัวเก็บของใส่เป้แล้วเริ่มเดินทางกันเลยยยย บรึ้นๆ.....
นักท่องเที่ยวควรรู้

























ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น