วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560
ทำไมต้องถือศีลอด?
มีช่วงหนึ่งที่หลายคนสงสัยว่าทำไมอิสลามไม่กินข้าวกินน้ำตอนกลางวัน เป็นเพราะว่ากำลังอยู่ในช่วงของการถือศีลอด
การถือศีลอด เป็นบทบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดไว้ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ ดึกดำบรรพ์แล้ว แต่เนื่องจากผู้คนในศาสนาต่างๆเข้าใจและถือศีลอดกันอย่างผิดๆ ดังนั้น ไม่ผิดหรอกที่ท่านทั้งหลายจะไม่รู้ งั้นเรามาเรียนรู้และเข้าใจอิสลามกันเถอะ
การถือศีลอดเป็นข้อหนึ่งของหลักปฏิบัติของอิสลาม 5 ประการ
1.ต้องปฏิญาณตนต่อพระเจ้า
2.ต้องดำรงละหมาด 5 เวลา คือ ตอนรุ่งอรุณ ตอนบ่าย ตอนตะวันคล้อย ตอนตะวันตกดิน และยามค่ำคืน
3.ต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน เดือนที่ 9 ของปฏิทินอิสลาม
4.ต้องจ่ายซะกาต
5.ต้องทำหัจญ์ คือ การเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะฮ์
การถือศีลอด ตามความหมายทางศาสนาของอิสลาม คือการงดเว้นจากการกิน การดื่ม การเสพ และการมีความสัมพันธ์ทางเพศ ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกตลอดทั้งเดือนรอมฎอนของทุกปีซึ่งอาจ จะมีระยะเวลา 29 หรือ 30 วัน โดยมีเจตนาว่าทำเพื่ออัลลอฮฺ
เป้าหมายของการถือศีลอด พอจะประมาณได้มีอยู่ 3 ประการ
1. เพื่อให้เกิดความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ
2. เพื่อให้เกิดสุขภาพดี
3. เพื่อได้รู้ถึงสภาพคนยากจน และเกิดความสงสารเห็นอกเห็นใจ
ผู้ที่จำเป็นต้องถือศีลอด คือ
1. เป็นมุสลิม
2. มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
3. บรรลุศาสนภาวะ
4. มีสุขภาพดี
5. ไม่เดินทาง
6. สตรีที่ไม่มีรอบเดือน
7. ไม่มีเลือดนิฟาส (เลือดหลังจากคลอดบุตร)
ผลดีของการถือศีลอด
1) ประการแรกก็คือเพื่อเป็นการฝึกให้เกิดความรู้สึกยับยั้งตนเองและเกรงกลัว พระเจ้า (หรือที่เรียกกันว่า ตักวา ) โดยปกติแล้ว แรงกระตุ้นให้ทำบาปนั้นมักจะเกิดขึ้นจากการมีความต้องการเยี่ยงสัตว์มากเกิน พอดี แต่การถือศีลอดจะช่วยลดความรู้สึกทางด้านนี้ลง ด้วยเหตุนี้ ท่านนบีจึงได้แนะนำชายหนุ่มที่ยังไม่สามารถแต่งงานและไม่สามารถควบคุมความ ความต้องการทางเพศของตัวเองได้ให้ถือศีลอด เพราะการถือศีลอดจะช่วยลดอารมณ์ทางเพศลง
2) การถือศีลอดทำให้คนร่ำรวยและคนมีอันจะกิน รู้สึกถึงความหิวและความกระหาย ความรู้สึกเช่นนี้ด้วยตัวเองจะทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกถึงความทุกข์ยากของคน จนและมีจิตใจที่อยากจะช่วยเหลือคนเหล่านั้น นอกจากนี้แล้ว อิสลามยังได้แนะนำให้ทำทานแก่คนยากจนและคนตกทุกข์ได้ยากในเดือนนี้เป็นพิเศษ ด้วย และก่อนที่เดือนแห่งการถือศีลอดจะสิ้นสุดลง อิสลามก็วางข้อกำหนดไว้อย่างเข้มงวดให้มุสลิมทุกคนต้องจ่าย "ซะกาตฟิฏเราะฮฺ" (ซึ่งเป็นข้าวสารประมาณ 3 ลิตร)แก่คนยากจนหรือคนไม่มีจะกินเพื่อให้คนเหล่านี้มีอาหารสำหรับฉลองวัน เทศกาล "อีดิล ฟิฏริ" หากใครไม่จ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺ อัลลอฮฺก็จะยังไม่รับการถือศีลอดของคนผู้นั้น ดังนั้น การถือศีลอดจึงเป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยดึงคนมีอันจะกินให้หันมารับรู้ความ รู้สึกของคนหิวโหยและช่วยเหลือคนเหล่านั้น
3) การถือศีลอดเป็นการฝึกฝนผู้ศรัทธา ให้รู้จักอดทนในการที่จะเผชิญต่อความยากลำบาก ที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวในชีวิต เช่น การขาดแคลนอาหาร หรือวิกฤตการณ์ต่างๆ
4) การหิวและการอดอาหารนานเกินไปอาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ แต่การกินอาหารมากเกินไปนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์มากกว่า ดังนั้น การถือศีลอดในบางครั้งจึงเป็นผลดีต่อสุขภาพของร่างกาย เป็นการบำบัดโรคบางอย่าง เพราะการอดอาหารจะช่วยลดไขมันที่เกินความต้องการและขับสารพิษบางอย่างออกจาก ร่างกายของมนุษย์ การทดลองและการสังเกตุของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ยืนยันถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านนบีได้เคยกล่าวว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างมีซะกาต และซะกาตของร่างกายคือการถือศีลอด" (ซะกาตหมายถึงการซักฟอกให้สะอาดและความเจริญงอกงาม)
5) การถือศีลอดเป็นการปกป้องผู้ถือศีลอดให้พ้นจากบาปต่างๆ เพราะในขณะถือศีลอด ผู้ถือศีลอดไม่เพียงแต่จะต้องงดเว้นจากการกิน การดื่มเท่านั้น แต่ยังจะต้องงดเว้นจากการนินทาว่าร้าย การพูดจาไร้สาระ การคิดและการทำสิ่งชั่วช้าเลวทรามต่างๆด้วย อิสลามถือว่าคนที่ถือศีลอดแต่ยังไม่งดเว้นจากการนินทาว่าร้ายผู้อื่นนั้นจะ ไม่ได้อะไรจากการถือศีลอดนอกไปจากความหิว
6) การถือศีลอดเป็นการฝึกจิตใจให้มีสมาธิแน่วแน่ ในสิ่งที่ตัวเองยืนหยัดศรัทธา
7) ถึงแม้การถือศีลอดจะทำให้ท้องเกิดความหิวกระหาย แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้หัวใจเกิดความหิวกระหายที่จะทำดีด้วย
8) การถือศีลอดก่อให้เกิดความเสมอภาคขึ้นในหมู่ประชาชาติมุสลิม เพราะในเดือนรอมฎอน ไม่ว่าใครจะรวยหรือจนขนาดไหน มุสลิมทุกคนต่างก็ต้องอดอาหารตามคำบัญชาของอัลลอฮฺด้วยกันทั้งสิ้น
9) การถือศีลอดเป็นการฝึกความซื่อสัตย์ต่อตนเองและพระเจ้า บางครั้งบางคนอาจจะทนกับความหิวโหย แอบกินอาหารโดยที่ไม่ให้ใครเห็น แต่พึงระลึกไว้เถอะว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็แล้วแต่ทั้งในที่ลับหรือที่แจ้ง อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงรู้ และทรงเห็น
สิ่งที่เป็นซุนนะฮฺในการถือศีลอดได้แก่ (ซุนนะฮุ คือ ถ้าทำได้บุญกุศล ละทิ้งไม่มีโทษ)
1.รับประทาน อาหารสะฮูรโดยให้ล่าช้าในการรับประทาน ท่านรอซูล ศ๊อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ ประชาชาติของฉันยังอยู่ในความดี ในเมื่อพวกเขารีบแก้ศีลอด และ ล่าช้าในการรับประทานอาหารสะฮูร ”
2.รีบละศีลอดเมื่อได้เวลา แก้ศีลอดด้วยอินทผาลัมสุกหรือแห้ง หรือน้ำ โดยรับประทานเป็นจำนวนคี่ ก่อนการแก้ศีลอดให้อ่านดุอาว่า “ อัลลอฮุมมะ ละกะศุมตุ วะอาลาริซกิกะ อัฟตอรตุ ”
3.งดเว้นการปฏิบัติในสิ่งที่ขัดต่อมารยาทของการถือศีลอด เช่น การด่าทอ นินทา การพูด โกหก การพูดในสิ่งที่ไร้สาระ ฯลฯ
4.อ่านอัลกุรอาน
5.ละหมาดกิยาม (ตะรอเวียะฮฺ)ในค่ำคืนของเดือนรอมฎอน
6.การทำเอี๊ยะติกาฟในมัสยิด เฉพาะอย่างยิ่งใน 10 คืนสุดท้ายของเดือนรอมฎอน เพื่อแสวงหาคืน อัล ก๊อดรฺ(ลัยละตุ้ลก๊อดรฺ)
7.ทำสิ่งที่เป็นความดีต่างๆให้มาก ไม่ว่าจะเป็นการละหมาด การกล่าวซิกรุลลอฮฺ และการทำศอดาเกาะฮฺ
8.ควรเป็นคนใจบุญ เห็นอกเห็นใจคนยากคนจน
สิ่งที่ทำให้เสียศีลอดมี 7 ประการ คือ
1. กินและดื่ม โดยเจตนา
2. อาเจียรโดยเจตนา
3. มีเลือดประจำเดือน
4. มีเลือดอันเนื่องจากการคลอดบุตร
5. หลั่งอสุจิโดยเจตนา
6. สูบบุหรี่
7. สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม
การถือศิลอดในทัศนะทางการแพทย์
นักวิชาการอเมริกาคนหนึ่ง ชื่อนายแพทย์ Allan Cott เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “ Way Fast ? ” (ทำไม่ต้องถือศิลอด) ซึ่งเป็นผลจากกการวิจัยของเขาจากหลายๆประเทศ เขาได้สรุปถึงเคล็ดลับของการถือศิลอดไว้ 10 ข้อ ดังนี้
1. to feel better physically and mentally. = ทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพและจิตใจที่ดีขึ้น
2. to look and feel younger. = ทำให้มองเห็นและรู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น
3. to clean out the body. = ทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน
4. to lower blood pressure and cholesterol levels = ช่วยลดความดันโลหิตสูง และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
5. to get more out of sex = ช่วยลดความรู้สึกอารมณ์ใคร่ (เซ็กส์)
6.to let the body health itself = ช่วยให้ร่างกายบำบัดตนเอง
7. to relieve the tension = ช่วยลดความตรึงเครียด
8. to sharp the sense = ช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม
9. to again control of ourself = ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้
10. to slow the aging process = ช่วยชะลอความชรา
Cr. สะตอดอง
ประเพณีการทักทายแบบอิสลาม
คำทักทายแบบอิสลาม
อิสลาม คือ ระบอบชีวิตที่สมบูรณ์ ที่ยืนหยัดอยู่บนหลักการยอมจำนนและเชื่อฟังต่อคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าโดยดุษฎี โดยความหมายแล้วอิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ หมายถึงการยอมจำนน การอ่อนน้อม และการเชื่อฟัง และอีกความหมายหนึ่งคือ สันติ สันติภาพ หรือ สันติสุข
หลายท่านคงจะคุ้นเคยกับอิสลามกับบ้างแล้ว
แต่อยากจะนำเสนออีกแง่มุมหนึ่งของการดำรงชีวิตแบบอิสลาม
คนที่นับถือศาสนาอิสลาม เรียกว่า มุสลิม
มุสลิม เวลาเจอกัน เขาจะทักทายแบบอิสลามว่า
"อัสลามูอาลัยกุมวาเราะห์มาตุ้ลลอฮฺอิวาบารอกาตุฮฺ"
หรือที่ได้ยินสั้นๆ ว่า "อัสลามูอาลัยกุม "
ความหมายก็คือ ขอความสันติสุข หรือความสุข จงมีแด่ท่าน
คนที่ได้ยินคำให้สลามจะตอบรับว่า
"วาอาลัยกุมมุสลาม" ซึ่งแปลว่า "ขอความสันติสุข หรือความสุข จงมีแด่ท่านเช่นกัน"
การให้สลามก็เหมือนกับการขอพรให้ซึ่งกันและกัน
แต่ถ้าจะให้ดีต้องมีการสัมผัสมือหรือการสวมกอด ซึ่งกันและกัน จะแสดงถึงความรักและความอบอุ่นที่มีให้กันมากยิ่งขึ้น
การทักทายกันใครจะทักทายใครก่อน ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า "คนขี่พาหนะจะต้องให้แก่คนเดินเท้าก่อน คนที่เดินเท้าจะต้องให้สลามแก่คนที่นั่ง คนจำนวนน้อยจะต้องให้สลามแก่คนจำนวนมาก คนหนุ่มจะต้องให้สลามแก่คนแก่"
นั่นแน! ผู้ชายคงจะคิดซิว่า เดี๋ยวเจอหญิงอิสลามแล้วจะกอดให้แน่นๆ เลย
ตื่นค่ะ!! หยุดฝันได้แล้ว
ปล. ผู้หญิงกับผู้ชาย อิสลามไม่อนุญาตให้สัมผัสมือและสวมกอดกัน
ยกเว้นคนที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ สามารถสัมผัสมือและสวดกอดกันได้
ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงกับผู้หญิง ผู้ชายกับผู้ชาย พี่ชายน้องสาว สามีภรรยา ฯลฯ
นี่คืออีกหนึ่งกับการดำรงชีวิตของมุสลิมแบบอิสลาม
Cr. www.gotoknow.org
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560
3 เชื้อชาติ ประสานกลายเป็นพหุวัฒนธรรมที่ดีงาม สวัสดีวันตรุษจีน
ผู้คนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขในสังคมนั้นๆ
เช่นสังคมเมืองปัตตานีก็ถือเป็นสังคมหลากหลาย
เพราะประกอบด้วยคนจีน มลายู และไทย.....
ประเพณีจึงแตกต่างกันไป แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้
วันนี้ผมก็จะอธิบายความเป็นมาของประเพณีหลักๆ ของ 3 เชื้อชาตินี้
1.ประเพณีตรุษจีน (จีน)
วันตรุษจีนซึ่งตรงกับเดือน 1 ของจีน เป็นประเพณีขึ้นปีใหม่ชาวจีน ซึ่งในอดีตชาวจีนหยุดงานเฉลิมฉลองกันตั้งแต่วัน 1 ค่ำ เดือน 1 จนถึง 15 ค่ำ เดือน 1 (ตามปฏิทินจีน) เป็นเวลา 15 วัน เพื่อจัดเตรียมสิ่งของและเยี่ยมเยียนญาติ เนื่องจากสังคมในอดีต มีการพึ่งพาอาศัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ต้องแข่งขันหรือเร่งรีบทำมาหากิน อีกทั้งจำนวนประชากรมีไม่มากนัก ทรัพยากรที่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตยังคงมีเพียงพอ และถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นสิริมงคล และถือประเพณีตรุษจีนเป็นวันหยุดพักผ่อนแห่งปีด้วย ซึ่งวันงานแท้ ๆ มีอยู่ 3 วัน คือ วันที่ 29 , 30 ของเดือน 12 และวันที่ 1 ทั้ง 3 วัน เป็นวันแห่งพิธีต้อนรับปีใหม่ วันที่ 29 เรียกว่า วันจ่าย วันที่ 30 เรียกว่าวันไหว้ มีการไหว้ เทพเจ้า ไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตอนเช้าไหว้เทพเจ้า ตอนสายไหว้บรรพบุรุษ ตอนบ่ายไหว้วิญญาณเร่ร่อน
ส่วนวันที่ 1 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่ชาวจีนจะไม่ทำงานอะไร แต่จะออกไปเยี่ยมญาติ มีกิจกรรมแจกซองแดง (อังเปา) และส่งของกำนัลแก่กันในหมู่วงศ์ญาติ เป็นการสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน รวมทั้งแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อกันในระหว่างเครือญาติ และเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก่อนวันตรุษจีนสมาชิกภายในครอบครัว แม่บ้าน และลูก ๆ จะร่วมกันทำความสะอาด และตกแต่งบ้านเรือนด้วยกระดาษสีแดง ผู้เป็นพ่อแม่จะบอกเล่าความสำคัญ และความหมายของการทำความสะอาด และใช้กระดาษสีแดงให้ ลูก ๆ ฟัง
ชาวจีนถือว่าสีแดง เป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคล และมีการเขียนคำมงคลในกระดาษแดง เป็นการช่วยให้กำลังใจว่า ความยากลำบากในปีที่ผ่านมาได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมกับนำมาปะตามขอบประตู หน้าต่าง และตู้เก็บของ มีการคาดผ้าแดงที่ขอบประตูด้านบน เรียกว่า ผ้าฉาย มีผ้าคาดโต๊ะพระที่มีลวดลายสวยงามเรียกว่า โต๊ะอุ๋ย เพื่อต้อนรับความเป็นมงคลให้แก่ตน และบ้านเรือนที่ตนอาศัยและการทำความสะอาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการต้อนรับเทพเจ้าและสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามาหาในปีใหม่ หากไม่ได้ปฏิบัติสิ่งดี ๆ จะไม่เข้ามาเพราะบ้านเรือนสกปรก ในช่วงวันดังกล่าวจะไม่มีการปฏิบัติงาน ไม่เช่นนั้นชีวิตของคนคนนั้นจะมีแต่ความลำบาก ต้องทำงานหนักไปตลอดทั้งปี ชาวบ้านมีความเชื่อในเรื่องเคล็ด ในวันเที่ยว (โช้ยอิด) ของเทศกาลตรุษจีน ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงที่ไม่ทำงานได้ในวันนี้ ทุกคนก็หยุดทำงานในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากถ้าหากปฏิบัติงานในวันนี้ เป็นตัวบ่งชี้ว่าในปีนี้ทั้งปี ต้องทำงานหนัก ไปตลอดปี และการมีบุญวาสนาขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนในวันตรุษจีน ดังคำเปรียบเทียบว่า “วันมงคล เริ่มปีใหม่วันแรก ยังต้องทำงานหนักเสียแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องทำงานหนักตลอดทั้งปีแน่
การประกอบพิธีกรรมในช่วงตรุษจีน เริ่มมีการปฏิบัติก่อนวัน 1 ค่ำเดือน 1 เล็กน้อย มีการส่งเทพเจ้าประจำบ้านขึ้นสวรรค์ เรียกว่า “จั๊บยี่โง้ยยี่สี่ส้างซิ๋น” โดยสมาชิกในบ้านร่วมกันทำความสะอาดบ้านก่อน พอรุ่งเช้าก็จะเตรียมสิ่งของเครื่องสักการะต่าง ๆ แล้วนำมาเซ่นไหว้เทพเจ้าประจำบ้าน หรือเทพเจ้าเตา เพื่อส่งขึ้นไปประชุมบนสวรรค์ ให้เทพเจ้าขึ้นไปรายงานความประพฤติ ของมนุษย์ต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ ว่าในรอบปีหนึ่งโลกมนุษย์มีใครปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างไร ชาวจีนจะนำเครื่องบูชาที่ประกอบด้วย ไก่ทั้งตัว หมู และบะหมี่ รวมทั้งขนมหวาน เช่น ขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมแล้วนำเครื่องบูชามาวางไว้ที่หน้าพระประจำบ้าน ในตอนเช้า และในวันสิ้นปี คือ วันที่ 29 หรือ 30 ค่ำ เดือน 12 มีการนำเครื่องบูชามาไหว้พระอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วนำ เครื่องบูชาเหล่านั้นไปประกอบอาหารเพื่อนำมา เซ่นไหว้ วิญญาณของสหายภราดร (โฮ้เฮี่ยตี๋ หรือวิญญาณเร่ร่อน)
2.ประเพณีฮารีรายอ (มุสลิม)
วันฮารีรายอ (ตามภาษามาลายูปัตตานี) หรือ วันฮารีรายา (ภาษามาลายูกลาง) เป็นวันรื่นเริงของชาวมุสลิมทั่วโลก ซึ่งใน 1 ปี ชาวมุสลิม มีวันฮารีรายอ 2 ครั้ง คือ อีดิลฟิตรี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนเชาวาล ซึ่งเป็นเดือน 10 ตามปฏิทินอิสลาม คือ วันออกบวช และ อีดิลอัฏฮา ตรงกับวันที่ 10 เดือน ซุลฮิจญะ หรือตรงกับเดือน 12 ของปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นการฉลอง วันออกฮัจญ์ ซึ่งในวันดังกล่าวชาวมุสลิมจะไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เพื่ออภัยต่อกันในสิ่งที่ผ่านมา โดยในวันอีดีลฟิตรี มุสลิมทุกคนจะต้องจ่าย ซะกาตฟิตเราะห์ คือการบริจาคทานแก่คนยากจนอนาถา ส่วนในวันอีดิลอัฏฮา จะมีการเชือดสัตว์พลี และทำ กุรบัน แจกจ่ายเนื้อเพื่อเป็นทานแก่ญาติมิตร สัตว์ที่ใช้ในการเชือดพลีได้แก่ อูฐ วัว แพะ ถือเป็นการขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้เป็นผู้บริจาค เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ในวันฮารีรายอ ชาวมุสลิม จะเดินทางกลับภูมิลำเนาของตน มาร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยพร้อมเพรียงกัน ได้พบปะ สังสรรค์กับเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อจะได้ขออภัยต่อกัน
สำหรับพิธีกรรมในวันดังกล่าว ชาวมุสลิมจะตื่นนอนแต่เช้าตรู โดยเฉพาะผู้หญิงจะตกแต่งบ้านเรือนให้สะอาดสวยงามเป็นพิเศษ จัดเตรียมอาหาร ขนมต่างๆ ไว้ต้อนรับเพื่อน ญาติพี่น้อง และแขกที่มาเยี่ยมเยียน หลังเสร็จสิ้นภารกิจแล้วจึงจะอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด เรียกว่า อาบน้ำสุนัต กำหนดเวลาอาบตั้งแต่เที่ยงคืนเริ่มต้นวันฮารีรายอ จนถึงพระอาทิตย์ตก แต่เวลาที่ดีที่สุดและเป็นที่นิยมอาบน้ำสุนัต คือ เมื่อแสงอรุณขึ้นขอบฟ้าในวันฮารีรายอ ในขณะอาบน้ำสุนัต ทุกคนจะต้องกล่าวดุอาร์ เป็นการขอพร จากนั้นจะเดินทางไปมัสยิดเพื่อละหมาดและเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วในกุโบร์ หรือสุสาน ที่ตั้งอยู่ภายในมัสยิดนั้นๆ.
3.ประเพณีสงกรานต์ (ไทย)
วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณก่อนที่จะมีการประกาศวันขึ้นปีใหม่แบบสากล ในขณะที่ชาวต่างชาติต่างรู้จักวันสงกรานต์ในฐานะของการละเล่นสาดน้ำคลายร้อนที่โด่งดังไปทั่วโลก
คำว่าสงกรานต์นั้น แปลว่า ก้าวขึ้น เปลี่ยนผ่าน หรือย่างขึ้น ซึ่งตรงกับทางโหราศาสตร์ที่ว่า วันสงกรานต์จะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งตรงกับวันที่ 13 , 14, 15 เมษายนของทุกปี ในบางจังหวัดก็จะมีการเฉลิมฉลองยาวนานกว่า 3 วัน เช่น ประเพณีสงกรานต์เชียงใหม่ หรือประเพณีสงกรานต์พระประแดง ประเพณีสงกรานต์(วันไหล)พัทยา และนอกจากไทยแล้ว ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เช่น ลาว พม่า กัมพูชา ก็มีประเพณีวันสงกรานต์เช่นเดียวกัน
ในระหว่าง 3 วันนี้ จะมีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น การทำความสะอาดบ้านเรือน เข้าวัดทำบุญ ขนทรายเข้าวัด ก่อเจดีย์ทราย สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และการละเล่นสาดน้ำของหนุ่มสาว
ในวันที่ 13 เมษายน จะเรียกว่าวันมหาสงกรานต์ เป็นวันสิ้นปีเก่าเตรียมเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ ผู้คนก็จะปัดกวาด ทำความสะอาดบ้าน เพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีให้ออกไปจากบ้าน เป็นการต้อนรับปีใหม่ บางบ้านก็จะยิงปืน จุดประทัด หรือทำอะไรก็ได้ให้เกิดเสียงดัง เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีต่างๆ ออกไป
วันที่ 14 เมษายน วันเนาหรือวันเน่า ตามวัดวาอารามต่างๆ จะมีการเตรียมงานทำบุญสงกรานต์ ตอนบ่ายๆ จะมีการขนทรายเข้าวัดเตรียมก่อเจดีย์ทราย ในวันนี้คนโบราณมีความเชื่อว่า ห้ามพูดจาไม่ดีต่อกัน ห้ามทะเลาะเบาะแว้ง เพราะจะทำให้โชคไม่ดีไปตลอดปี
วันที่ 15 เมษายน วันเถลิงศกหรือวันพญาวัน เป็นวันที่ผู้คนพากันเข้าวัด ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว มีการรดน้ำดำหัว ขอพรจากผู้สูงอายุ ผู้อาวุโสในชุมชน มีการก่อเจดีย์ทราย การละเล่นสาดน้ำของหนุ่มสาว ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่หนุ่มสาวจะได้พบปะกันพูดคุยกัน เกี้ยวพาราสีกันได้ด้วยการละเล่นสาดน้ำ
ที่มาของประเพณีสงกรานต์นั้นอิงมาจากตำนานนางสงกรานต์ เมื่อธรรมาบาลกุมารผู้มีสติปัญญาปราดเปรื่อง สามารถตอบคำถามท้าวกบิลพรหมได้ ทำให้ท้าวกบิลพรหมต้องตัดศีรษะตนเองตามที่ตกลงไว้กับธรรมบาลกุมารว่าจะยอมตัดศีรษะให้หากตอบคำถามได้ แต่ศีรษะของท้าวกบิลพรหมนั้นหากตัดแล้วนำไปตั้งไว้บนผืนดิน แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ ถ้าโยนขึ้นท้องฟ้า ฝนจะแล้ง ท้าวกบิลพรหมจึงให้ลูกสาวทั้งเจ็ดคนผลัดเปลี่ยนกันจัดขบวนแห่ศีรษะของตนเองรอบเขาพระสุเมรุ ทุกๆ 365 วัน การนำศีรษะของท้าวกบิลพรหมออกแห่จึงถูกนับว่าเป็นการขึ้นปีใหม่นั่นเอง
สวัสดีวันตรุษจีน
มีความสุขกันทุกคนนะคร้าบบบบ
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560
ประเพณีการแต่งงานของศาสนาอิสลาม ศิลปวัฒนธรรมที่น่าหลงใหล
ประเพณีแต่งงาน
ประเพณีแต่งงาน ภาษาอาหรับเรียกว่า นิกะอ เป็นการทำพิธีแต่งงานตามหลักเกณฑ์และข้อบังคับของศาสนาอิสลาม มีอยู่ห้าประการคือ
๑. เป็นมุสลิม
๒. มีของหมั้น
๓. ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
๔. มีพยานผู้ชายอย่างน้อยสองคน
๕. ควรทำพิธีอย่างเปิดเผย
การสู่ขอ เมื่อชายหญิงชอบพอกัน และผู้ปกครองเห็นสมควร ฝ่ายชายจะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง เรียกว่า มาโซะมีเดาะ มีการตกลงระหว่าง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เกี่ยวกับสินสอดทองหมั้นและกำหนดวันหมั้น
พิธี หมั้น เมื่อถึงกำหนดฝ่ายชายจะจัดเถ้าแก่นำขบวนขันหมาก หรือพานหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง โดยผู้ที่เป็นเจ้าบ่าวไม่ได้ไปด้วย พานหมากมีสามพานคือ พานหมากพลู พานข้าวเหนียวเหลือง และพานขนม ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็จะกำหนดวันแต่งงานและการจัดงานเลี้ยง ก่อนเถ้าแก่จะเดินทางกลับฝ่ายหญิงจะมอบผ้าโสร่งชาย (กาเฮงแปลก๊ะ) หรือผ้าดอกปล่อยชาย (กาเฮงมาเต๊ะลือป๊ะ) อย่างใดอย่างหนึ่ง และขนมของฝ่ายหญิงให้กลับเป็นการตอบแทนให้แก่ฝ่ายชาย
พิธี แต่งงาน วันแต่งงาน ขบวนเงินหัวขันหมากประกอบด้วยเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าว และญาติผู้ใหญ่ จะเดินทางไปยังบ้านเจ้าสาว ทางบ้านเจ้าสาวจะเชิญอิหม่าม คอเต็บ ทำพิธีแต่งงาน พร้อมสักขีพยานและผู้ทรงคุณธรรม (คุณวุฒิ) เมื่อขบวนขันหมากมาถึงบ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าว จะมอบเงินหัวขันหมากให้แก่โต๊ะอิหม่าม ตรวจความถูกต้อง บิดาของเจ้าสาวจะไปขอความยินยอมจากเจ้าสาว (ขณะนั้นเจ้าสาวอยู่ในห้อง) โดยบิดาจะถามว่า พ่อจะให้ลูกแต่งงานกับ ?.(ชื่อเจ้าบ่าว) ลูกจะยินยอมหรือไม่ เจ้าสาวก็จะให้คำตอบยินยอมหรือไม่ยินยอม ถ้าไม่ยินยอมพิธีจะดำเนินต่อไปไม่ได้ ถือว่าผิดหลักศาสนา การถามตอบระหว่างพ่อ-ลูก จะต้องมีพยานสองคนคือ คอเต็บ หรือผู้ทรงคุณธรรมฟังอยู่ด้วย เมื่อเจ้าสาวตอบยินยอมก็จะดำเนินพิธีขั้นต่อไป จากนั้นบิดาเจ้าสาวก็วอเรา คือการกล่าวมอบหมายให้โต๊ะอิหม่ามเป็นผู้ประกอบพิธีแต่งงาน โดยการ บาจอกุฎตีเบาะ คืออ่าน กุฎยะฮ คืออ่านศาสนบัญญัติ เพื่ออบรมเกี่ยวกับการครองเรือน เสร็จแล้วจึงทำการ นิกะฮ คือการรับฝ่ายหญิงเป็นภรรยาต่อหน้าโต๊ะอิหม่าม และพยาน โต๊ะอิหม่ามจะจับปลายมือของเจ้าบ่าว แล้วประกอบพิธีนิกะฮ โดยกล่าวชื่อ เจ้าบ่าว แล้วกล่าวว่า ฉันได้รับมอบหมายจาก ?(ชื่อพ่อเจ้าสาว) ให้ฉันจัดการแต่งงานเธอกับ?(ชื่อเจ้าสาว) ซึ่งเป็นบุตรของ?(ชื่อพ่อเจ้าสาว) ด้วยเงินหัวขันหมากจำนวน ?..บาท
เจ้าบ่าวจะต้องตอบรับทันทีว่า ฉันยอมรับการแต่งงานตามจำนวนเงินหัวขันหมากแล้ว สักขีพยานกับผู้ทรงคุณธรรมกล่าวต่อบรรดาผู้มาร่วมงานในห้องนั้นว่า คำกล่าวของเจ้าบ่าวใช้ได้ไหม ถ้าผู้ร่วมงานตอบว่าใช้ได้ เป็นอันว่าการแต่งงานนั้นถูกต้องแล้วโต๊ะอิหม่าม จะบาจอดุอา หรือบาจอดอออ ขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้อัลเลาะห์ให้พรแก่คู่บ่าวสาว จบแล้วอิหม่ามจะบอกหลักของการเป็นสามีภรรยา แก่เจ้าบ่าวว่า ตามหลักศาสนานั้น ผู้เป็นสามีต้องเลี้ยงดูภรรยาและอยู่ร่วมกันตามหน้าที่ของสามีภรรยา
จากนั้นมีการลงชื่อ โต๊ะอิหม่าม เจ้าบ่าว เจ้าสาว บิดาฝ่ายหญิง และพยานในหนังสือสำคัญเป็นหลักฐาน เป็นอันเสร็จพิธี
ประเพณีมาแกบูโละ
ประเพณีมาแกบูโละ แปลว่า กินเหนียว หมายถึงการกินเลี้ยงในวันแต่งงาน งานเข้าสุหนัด งานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ มีการเชิญแขกด้วยวาจา หรือโดยบัตรเชิญ มีการจัดสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงอาหาร ที่จัดเลี้ยงเป็นอาหารธรรมดา เช่น มัสหมั่นเนื้อ ไก่กอและ ซุปเนื้อ ผัดวุ้นเส้น ผักสด น้ำบูดู เป็นต้น
ประเพณีมาแกแต (กินน้ำชา)
ประเพณีมาแกแต (กินน้ำชา) หมายถึงการกินเลี้ยงในงานหาเงินสร้างมัสยิด สร้างโรงเรียนสอนศาสนา หาเงินเพื่อขอความช่วยเหลือจากการประสบอุบัติเหตุ ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากและไม่มีเงินจ่าย อาหารที่เลี้ยงได้แก่ ข้าวยำ น้ำชา หรือ ปูโละซามา (ข้าวหนียวหน้ากุ้ง)
ประเพณีมาแกสมางัด
ประเพณีมาแกสมางัด คือกินเพื่อความเป็นสิริมงคล เมื่อญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว จูงเมือเจ้าบ่าวเข้าไปในห้องของเจ้าสาว จัดให้นั่งเคียงคู่กับเจ้าบ่าว ปัจจุบันนิยมจัดให้นั่งบนเก้าอี้บนแท่นหรือบัลลังก์ที่เรียกว่า ปงายางัน
อาหาร ที่ใช้ป้อนเจ้าบ่าว เจ้าสาว มีข้าวเหนียวเหลือง - แดง - ขาว มีสามส่วน ลักษณะเหมือนกลีบสามกลีบประกบกันเป็นพุ่ม เหมือนพุ่มดอกไม้ที่ประดับในพานพุ่มข้าวเหนียวนี้เป็นพุ่มใหญ่ สูงประมาณ ๑ ศอก บนยอดพุ่มมีไข่ต้มแกะเปลือกออกแล้ววางอยู่ ๑ ฟอง ไก่ย่าง ๑ ตัว ขนมกะละแม ขนมก้อ และข้าวพอง หญิงที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้าสาวจะหยิบข้าวเหนียวไข่ต้ม เนื้อไก่ย่าง และขนมป้อนให้เจ้าบ่าว เจ้าสาวกินคนละคำสลับกันเป็นการกินเพื่อเป็นสิริมงคล
ศอ.บต. ส่งเสริมประเพณีที่ดีงามของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ จชต.
ศอ.บต. มอบเงินอุดหนุนกิจกรรมเมาลิดสัมพันธ์ที่ห้องประชุมน้อมเกล้า ชั้น 1 อาคารอเนกประสงค์ ศอ.บต.
นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการ ศอ.บต. เป็นประธานมอบเงินอุดหนุนกิจกรรมเมาลิดสัมพันธ์ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1438 ให้กับสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 5 จังหวัด ประกอบไปด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส จังหวัดละ 100,000 บาท จังหวัดสงขลาและจังหวัดสตูล 50,000 บาท และ ชมรมอิหม่ามประจำอำเภอทั้ง 44 อำเภอ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดละ 30,000 บาท ทั้งนี้เพื่อสนับสนุขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ ให้ชาวไทยมุสลิมได้รำลึกถึงจริยวัตรอันประเสริฐ คำสอนคุณงามความดีของท่านศาสดามูฮัมหมัด สู่การเป็นต้นแบบในด้านคุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนสนับสนุนการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยมี นายอารี ดิเรกกิจ ผู้อำนวยการสำนักประสานนโยบายการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ศอ.บต. ประธานชมรมอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น ผู้แทนอำเภอ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วม
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560
ศิลปวัฒนธรรมของคนไทยมุสลิม
ประเพณีการเกิด
เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ หญิงผู้มีครรภ์จะไปฝากท้องกับหมอตำแย (โต๊ะบีแด) โดยจัดเครื่องบูชาหมอ ประกอบด้วย หมาก พลู ยาเส้น และเงินตามสมควร การคลอด เมื่อถึงกำหนดคลอด ญาติหรือสามีของหญิงผู้จะคลอด จะไปตามหมอตำแยมาช่วยทำคลอดให้ที่บ้าน ก่อนคลอดต้องเตรียมของต่าง ๆ ประกอบด้วยด้ายดิบหนึ่งขด ข้าวสารจำนวนเล็กน้อย หมาก พลูและเงินตามสมควร เมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว หมอตำแยจะชำระล้างทำความสะอาดตัวเด็ก ตัดและผูกสายสะดือ แล้วนำเด็กไปไว้ในถาดใบใหญ่มีผ้าปูรองรับอยู่หลายชั้น แล้วหมอตำแยจะต้มน้ำชำระร่างกายให้แก่ผู้เป็นแม่ แล้วนวดฟั้นทุกส่วนของร่างกาย เพื่อให้เลือดลมเดินสะดวก
หลัง จากต้มน้ำทำความสะอาดตัวเด็กแล้ว บิดาหรือผู้มีความรู้ทางศาสนาทำพิธีอาซานหรือบัง (พูดกรอกที่หูขวา) และกอมัต (พูดกรอกที่หูซ้าย) แก่เด็กเป็นภาษาอาหรับมีความหมายดังนี้
๑. อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่
๒. ข้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์
๓. ข้าขอปฏิญาณว่านบีมูฮัมมัดเป็นทูตของท่าน
๔. จงละหมาดเถิด จงมาในทางมีชัยเถิด แท้จริงข้าได้ยืนละหมาดแล้ว อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์
- พิธีเลี้ยงรับขวัญบุตร (อาแกเกาะห์ อากีกะฮ์หรือพิธีเชือดสัตว์)
ตามหลักศาสนาอิสลาม การเชือดสัตว์เพื่อให้สัตว์ที่ถูกเชือดนั้นไปเป็นพาหนะในโลกหน้า โดยบัญญัติให้ชาวอิสลามต้องกระทำด้วยการเชือดแพะหรือแกะที่มีอายุครบสองปี ไม่พิการ โดยกำหนดว่าถ้าได้ลูกสาว ต้องเชือดแพะหนึ่งตัว ถ้าได้ลูกชาย ต้องเชือดแพะสองตัว เนื้อแพะหรือแกะที่ถูกเชือดนั้นห้ามขายหรือให้แก่คนต่างศาสนากิน ให้จัดและมีขบวนแห่ใหญ่โต
เชิญแขกเหรื่อให้มากินเหนียว (มาแกบูโละ) หรือบางรายจัดให้มีการแสดงมหรสพเช่น มะโย่ง ลิเกฮูดูให้ชมด้วย
วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560
“มัสยิดกรือเซะ – สถานที่ท่องเที่ยว ปัตตานี ”
ความงดงามที่หน้าหลงไหล แล้วคุณจะรักษ์ในดินแดนแห่งนี้
“มัสยิดกรือเซะ – สถานที่ท่องเที่ยว ปัตตานี ”
มัสยิดกรือเซะ ตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโละ อำเภอเมือง ตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 7 กม.เป็นมัสยิดเก่าแก่ อายุกว่า 200 ปี สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถาน ที่สร้างขึ้น ในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2478 ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบเสากลม รูปลักษณะแบบเสาโกธิกของยุโรป ช่องประตูหน้าต่างมีทั้งแบบโค้ง แหลมและโค้งมน ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ หลังคาโดม ซึ่งยังสร้างไม่แล้วเสร็จ บริเวณด้านหน้าของมัสยิดมีฮวงซุ้ย หรือสุสานที่ฝังศพของ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ได้รับการตกแต่งพูนดินใหม่ปรากฏอยู่ มีผู้คนไปกราบไหว้กันมากพร้อมด้วยสิ่ง- ก่อสร้างอื่น ๆ เช่น เก๋งจีน โอ่งน้ำสีแดง (ซึ่งจุน้ำได้ถึง 120,000 ลิตร) มัสยิดกรือเซะนี้ สร้างโดยลิ้มโต๊ะเคี่ยม ซึ่งเป็นชาวจีนได้มาแต่งงานกับธิดาพระยาตานีและได้เปลี่ยน มานับ ถือศาสนาอิสลาม ต่อมาน้องสาวของลิ้มโต๊ะเคี่ยมชื่อลิ้มกอเหนี่ยว ได้ลงเรือสำเภามาตามให้พี่ชายกลับ เมืองจีนแต่ไม่สำเร็จ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้สร้างมัสยิดกรือเซะขึ้น ลิ้มกอเหนี่ยวจึงได้สาปแช่ง ขออย่าให้สร้าง มัสยิดสำเร็จ และตัวเองได้ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้จัดการฝังศพน้องสาวไว้ที่หน้า มัสยิดนี้ ชาวปัตตานีนำต้นไม้ที่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายมาแกะเป็นรูปบูชาและสร้างศาลเจ้า ต่อมาได้มีการ อัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐานไว้ ณ ศาลเจ้าแห่งใหม่ ตั้งอยู่ที่ถนนอาเนาะรู ในเขตเทศบาล เมืองปัตตานี เรียกว่าศาลเจ้าเล่งจูเกียง ( ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) เป็นที่นับถือของชาวปัตตานี และชาวจังหวัด ใกล้เคียง ในเดือน 3 ของทุกปี ( กุมภาพันธ์-มีนาคม ) จะมีพิธีเซ่นไหว้และแห่เจ้าแม่ นับว่าเป็นพิธีที่สนุก- สนานมาก ส่วนมัสยิดกรือเซะก็เป็นไปตามคำสาป เพราะไม่สามารถสร้างเสร็จได้ เมื่อจะสร้างต่อก็ให้มีอาเพศ ฟ้าผ่าทุกครั้งไป จนถึงปัจจุบันก็ไม่มีใครกล้าสร้างมัสยิดกรือเซะต่อ คงเหลือซากทิ้งไว้ตราบเท่าทุกวันนี้ครับ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


























