ผู้คนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขในสังคมนั้นๆ
เช่นสังคมเมืองปัตตานีก็ถือเป็นสังคมหลากหลาย
เพราะประกอบด้วยคนจีน มลายู และไทย.....
ประเพณีจึงแตกต่างกันไป แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้
วันนี้ผมก็จะอธิบายความเป็นมาของประเพณีหลักๆ ของ 3 เชื้อชาตินี้
1.ประเพณีตรุษจีน (จีน)
วันตรุษจีนซึ่งตรงกับเดือน 1 ของจีน เป็นประเพณีขึ้นปีใหม่ชาวจีน ซึ่งในอดีตชาวจีนหยุดงานเฉลิมฉลองกันตั้งแต่วัน 1 ค่ำ เดือน 1 จนถึง 15 ค่ำ เดือน 1 (ตามปฏิทินจีน) เป็นเวลา 15 วัน เพื่อจัดเตรียมสิ่งของและเยี่ยมเยียนญาติ เนื่องจากสังคมในอดีต มีการพึ่งพาอาศัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ต้องแข่งขันหรือเร่งรีบทำมาหากิน อีกทั้งจำนวนประชากรมีไม่มากนัก ทรัพยากรที่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตยังคงมีเพียงพอ และถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นสิริมงคล และถือประเพณีตรุษจีนเป็นวันหยุดพักผ่อนแห่งปีด้วย ซึ่งวันงานแท้ ๆ มีอยู่ 3 วัน คือ วันที่ 29 , 30 ของเดือน 12 และวันที่ 1 ทั้ง 3 วัน เป็นวันแห่งพิธีต้อนรับปีใหม่ วันที่ 29 เรียกว่า วันจ่าย วันที่ 30 เรียกว่าวันไหว้ มีการไหว้ เทพเจ้า ไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ตอนเช้าไหว้เทพเจ้า ตอนสายไหว้บรรพบุรุษ ตอนบ่ายไหว้วิญญาณเร่ร่อน
ส่วนวันที่ 1 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่ชาวจีนจะไม่ทำงานอะไร แต่จะออกไปเยี่ยมญาติ มีกิจกรรมแจกซองแดง (อังเปา) และส่งของกำนัลแก่กันในหมู่วงศ์ญาติ เป็นการสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน รวมทั้งแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อกันในระหว่างเครือญาติ และเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก่อนวันตรุษจีนสมาชิกภายในครอบครัว แม่บ้าน และลูก ๆ จะร่วมกันทำความสะอาด และตกแต่งบ้านเรือนด้วยกระดาษสีแดง ผู้เป็นพ่อแม่จะบอกเล่าความสำคัญ และความหมายของการทำความสะอาด และใช้กระดาษสีแดงให้ ลูก ๆ ฟัง
ชาวจีนถือว่าสีแดง เป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคล และมีการเขียนคำมงคลในกระดาษแดง เป็นการช่วยให้กำลังใจว่า ความยากลำบากในปีที่ผ่านมาได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมกับนำมาปะตามขอบประตู หน้าต่าง และตู้เก็บของ มีการคาดผ้าแดงที่ขอบประตูด้านบน เรียกว่า ผ้าฉาย มีผ้าคาดโต๊ะพระที่มีลวดลายสวยงามเรียกว่า โต๊ะอุ๋ย เพื่อต้อนรับความเป็นมงคลให้แก่ตน และบ้านเรือนที่ตนอาศัยและการทำความสะอาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการต้อนรับเทพเจ้าและสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามาหาในปีใหม่ หากไม่ได้ปฏิบัติสิ่งดี ๆ จะไม่เข้ามาเพราะบ้านเรือนสกปรก ในช่วงวันดังกล่าวจะไม่มีการปฏิบัติงาน ไม่เช่นนั้นชีวิตของคนคนนั้นจะมีแต่ความลำบาก ต้องทำงานหนักไปตลอดทั้งปี ชาวบ้านมีความเชื่อในเรื่องเคล็ด ในวันเที่ยว (โช้ยอิด) ของเทศกาลตรุษจีน ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงที่ไม่ทำงานได้ในวันนี้ ทุกคนก็หยุดทำงานในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากถ้าหากปฏิบัติงานในวันนี้ เป็นตัวบ่งชี้ว่าในปีนี้ทั้งปี ต้องทำงานหนัก ไปตลอดปี และการมีบุญวาสนาขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนในวันตรุษจีน ดังคำเปรียบเทียบว่า “วันมงคล เริ่มปีใหม่วันแรก ยังต้องทำงานหนักเสียแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องทำงานหนักตลอดทั้งปีแน่
การประกอบพิธีกรรมในช่วงตรุษจีน เริ่มมีการปฏิบัติก่อนวัน 1 ค่ำเดือน 1 เล็กน้อย มีการส่งเทพเจ้าประจำบ้านขึ้นสวรรค์ เรียกว่า “จั๊บยี่โง้ยยี่สี่ส้างซิ๋น” โดยสมาชิกในบ้านร่วมกันทำความสะอาดบ้านก่อน พอรุ่งเช้าก็จะเตรียมสิ่งของเครื่องสักการะต่าง ๆ แล้วนำมาเซ่นไหว้เทพเจ้าประจำบ้าน หรือเทพเจ้าเตา เพื่อส่งขึ้นไปประชุมบนสวรรค์ ให้เทพเจ้าขึ้นไปรายงานความประพฤติ ของมนุษย์ต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ ว่าในรอบปีหนึ่งโลกมนุษย์มีใครปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างไร ชาวจีนจะนำเครื่องบูชาที่ประกอบด้วย ไก่ทั้งตัว หมู และบะหมี่ รวมทั้งขนมหวาน เช่น ขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมแล้วนำเครื่องบูชามาวางไว้ที่หน้าพระประจำบ้าน ในตอนเช้า และในวันสิ้นปี คือ วันที่ 29 หรือ 30 ค่ำ เดือน 12 มีการนำเครื่องบูชามาไหว้พระอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วนำ เครื่องบูชาเหล่านั้นไปประกอบอาหารเพื่อนำมา เซ่นไหว้ วิญญาณของสหายภราดร (โฮ้เฮี่ยตี๋ หรือวิญญาณเร่ร่อน)
2.ประเพณีฮารีรายอ (มุสลิม)
วันฮารีรายอ (ตามภาษามาลายูปัตตานี) หรือ วันฮารีรายา (ภาษามาลายูกลาง) เป็นวันรื่นเริงของชาวมุสลิมทั่วโลก ซึ่งใน 1 ปี ชาวมุสลิม มีวันฮารีรายอ 2 ครั้ง คือ อีดิลฟิตรี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนเชาวาล ซึ่งเป็นเดือน 10 ตามปฏิทินอิสลาม คือ วันออกบวช และ อีดิลอัฏฮา ตรงกับวันที่ 10 เดือน ซุลฮิจญะ หรือตรงกับเดือน 12 ของปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นการฉลอง วันออกฮัจญ์ ซึ่งในวันดังกล่าวชาวมุสลิมจะไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เพื่ออภัยต่อกันในสิ่งที่ผ่านมา โดยในวันอีดีลฟิตรี มุสลิมทุกคนจะต้องจ่าย ซะกาตฟิตเราะห์ คือการบริจาคทานแก่คนยากจนอนาถา ส่วนในวันอีดิลอัฏฮา จะมีการเชือดสัตว์พลี และทำ กุรบัน แจกจ่ายเนื้อเพื่อเป็นทานแก่ญาติมิตร สัตว์ที่ใช้ในการเชือดพลีได้แก่ อูฐ วัว แพะ ถือเป็นการขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้เป็นผู้บริจาค เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ในวันฮารีรายอ ชาวมุสลิม จะเดินทางกลับภูมิลำเนาของตน มาร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยพร้อมเพรียงกัน ได้พบปะ สังสรรค์กับเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อจะได้ขออภัยต่อกัน
สำหรับพิธีกรรมในวันดังกล่าว ชาวมุสลิมจะตื่นนอนแต่เช้าตรู โดยเฉพาะผู้หญิงจะตกแต่งบ้านเรือนให้สะอาดสวยงามเป็นพิเศษ จัดเตรียมอาหาร ขนมต่างๆ ไว้ต้อนรับเพื่อน ญาติพี่น้อง และแขกที่มาเยี่ยมเยียน หลังเสร็จสิ้นภารกิจแล้วจึงจะอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด เรียกว่า อาบน้ำสุนัต กำหนดเวลาอาบตั้งแต่เที่ยงคืนเริ่มต้นวันฮารีรายอ จนถึงพระอาทิตย์ตก แต่เวลาที่ดีที่สุดและเป็นที่นิยมอาบน้ำสุนัต คือ เมื่อแสงอรุณขึ้นขอบฟ้าในวันฮารีรายอ ในขณะอาบน้ำสุนัต ทุกคนจะต้องกล่าวดุอาร์ เป็นการขอพร จากนั้นจะเดินทางไปมัสยิดเพื่อละหมาดและเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วในกุโบร์ หรือสุสาน ที่ตั้งอยู่ภายในมัสยิดนั้นๆ.
3.ประเพณีสงกรานต์ (ไทย)
วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณก่อนที่จะมีการประกาศวันขึ้นปีใหม่แบบสากล ในขณะที่ชาวต่างชาติต่างรู้จักวันสงกรานต์ในฐานะของการละเล่นสาดน้ำคลายร้อนที่โด่งดังไปทั่วโลก
คำว่าสงกรานต์นั้น แปลว่า ก้าวขึ้น เปลี่ยนผ่าน หรือย่างขึ้น ซึ่งตรงกับทางโหราศาสตร์ที่ว่า วันสงกรานต์จะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งตรงกับวันที่ 13 , 14, 15 เมษายนของทุกปี ในบางจังหวัดก็จะมีการเฉลิมฉลองยาวนานกว่า 3 วัน เช่น ประเพณีสงกรานต์เชียงใหม่ หรือประเพณีสงกรานต์พระประแดง ประเพณีสงกรานต์(วันไหล)พัทยา และนอกจากไทยแล้ว ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เช่น ลาว พม่า กัมพูชา ก็มีประเพณีวันสงกรานต์เช่นเดียวกัน
ในระหว่าง 3 วันนี้ จะมีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น การทำความสะอาดบ้านเรือน เข้าวัดทำบุญ ขนทรายเข้าวัด ก่อเจดีย์ทราย สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และการละเล่นสาดน้ำของหนุ่มสาว
ในวันที่ 13 เมษายน จะเรียกว่าวันมหาสงกรานต์ เป็นวันสิ้นปีเก่าเตรียมเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ ผู้คนก็จะปัดกวาด ทำความสะอาดบ้าน เพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีให้ออกไปจากบ้าน เป็นการต้อนรับปีใหม่ บางบ้านก็จะยิงปืน จุดประทัด หรือทำอะไรก็ได้ให้เกิดเสียงดัง เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีต่างๆ ออกไป
วันที่ 14 เมษายน วันเนาหรือวันเน่า ตามวัดวาอารามต่างๆ จะมีการเตรียมงานทำบุญสงกรานต์ ตอนบ่ายๆ จะมีการขนทรายเข้าวัดเตรียมก่อเจดีย์ทราย ในวันนี้คนโบราณมีความเชื่อว่า ห้ามพูดจาไม่ดีต่อกัน ห้ามทะเลาะเบาะแว้ง เพราะจะทำให้โชคไม่ดีไปตลอดปี
วันที่ 15 เมษายน วันเถลิงศกหรือวันพญาวัน เป็นวันที่ผู้คนพากันเข้าวัด ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว มีการรดน้ำดำหัว ขอพรจากผู้สูงอายุ ผู้อาวุโสในชุมชน มีการก่อเจดีย์ทราย การละเล่นสาดน้ำของหนุ่มสาว ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่หนุ่มสาวจะได้พบปะกันพูดคุยกัน เกี้ยวพาราสีกันได้ด้วยการละเล่นสาดน้ำ
ที่มาของประเพณีสงกรานต์นั้นอิงมาจากตำนานนางสงกรานต์ เมื่อธรรมาบาลกุมารผู้มีสติปัญญาปราดเปรื่อง สามารถตอบคำถามท้าวกบิลพรหมได้ ทำให้ท้าวกบิลพรหมต้องตัดศีรษะตนเองตามที่ตกลงไว้กับธรรมบาลกุมารว่าจะยอมตัดศีรษะให้หากตอบคำถามได้ แต่ศีรษะของท้าวกบิลพรหมนั้นหากตัดแล้วนำไปตั้งไว้บนผืนดิน แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ ถ้าโยนขึ้นท้องฟ้า ฝนจะแล้ง ท้าวกบิลพรหมจึงให้ลูกสาวทั้งเจ็ดคนผลัดเปลี่ยนกันจัดขบวนแห่ศีรษะของตนเองรอบเขาพระสุเมรุ ทุกๆ 365 วัน การนำศีรษะของท้าวกบิลพรหมออกแห่จึงถูกนับว่าเป็นการขึ้นปีใหม่นั่นเอง
สวัสดีวันตรุษจีน
มีความสุขกันทุกคนนะคร้าบบบบ








ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น